โครงการ

เกษตรผสมผสาน ปลูกทุกอย่างที่กิน กินทุกอย่างที่ปลูก : สร้างความมั่นคงทางอาหาร

การรวมกลุ่มสร้างความเข้มแข็ง : ทวงสิทธิอันพึงมีพึงได้

การสร้างเครือข่ายปกป้องทวงสิทธิ : ความยากจนคือการละเมิดสิทธิมนุษยชน


http://www.codiesan.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539242095&Ntype=6

โพสท์ใน โครงการ | ใส่ความเห็น

ความสําคัญ

จากชุมชนล่มสลาย สู่ ชุมชนเกษตรอินทรีย์

กุดตาไก้ คือหมู่บ้านหนึ่งในภาคอีสาน ซึ่งเผชิญปัญหาไม่ต่างจากชุมชนในชนบทภาคอีสาน ทั้งความแห้งแล้ง ดินไม่ดี นโยบายการเกษตรเชิงเดี่ยว ปอ อ้อย มันสัมปะหลัง เน้นการปลูกเพื่อขายนำรายได้มาซื้อของในตลาดในการดำรงชีวิต คนหนุ่มสาววัยทำงานต้องอพยพเข้าไปทำงานในเมืองหลวง เหลือเพียงคนแก่คนเฒ่าเลี้ยงหลานอยู่ในหมู่บ้าน

ภาพเช่นนี้คือคำเล่าขานสภาพชุมชนเมื่อยี่สิบสามสิบปีที่แล้วจาก บำรุง คะโยธา ผู้หาญกล้าลุกขึ้นท้าทายกำหนดอนาคตของชุมชนในช่วงสิบปีที่ผ่านมา “ผมกลับมาสร้างชุมชน เริ่มจากบ้านที่ผมอยู่ ที่ดินผมมี 7 ไร่ ลงมือทำกับมันอย่างจริงจัง ในช่วงแรกชาวบ้านก็หาว่าผมบ้า แต่เมื่อเห็นผลเขาก็เข้าร่วมและขยายเครือข่ายเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ”

บำรุงเล่าให้ฟังถึงช่วงแรกๆ ที่กลับมาอยู่บ้าน หลังจากไปขายแรงงานในเมืองเหมือนคนอีสานทั่วไป ก่อนหน้านี้เขายังได้เข้าร่วมต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมในกรณีราคาหมูตก ต่ำ โดยการนำหมูไปปล่อยเพื่อประท้วงราคาหมูตกต่ำที่หน้าศาลากลางจังหวัด กาฬสินธุ์มาแล้ว ประสบการณ์สอนให้เขารู้ว่าต้องรวมกลุ่มรวมตัวกันเพื่อต่อรองราคาหมูกับพ่อ ค้าคนกลาง แต่นั่นยังไม่พอ เพราะจากพ่อค้าคนกลางยังมีบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างซีพีที่คอยตัดราคาทำให้ชาว บ้านต้องขาดทุนเพราะสู้ราคาเขาไม่ได้ นอกจากนี้เขายังเห็นความไม่เป็นธรรมเกี่ยวข้องกับนโยบายของรัฐบาลที่เปิดการ ค้าเสรี ทำให้หมูจากต่างประเทศทะลักเข้ามาตัดราคาจนชาวบ้านรายย่อยไม่สามารถสู้กับ บริษัทใหญ่ๆได้ วันนี้ชุมชนกุดตาไก้เลี้ยงหมูพื้นบ้านแบบหมูหลุม เพื่อการบริโภค ไม่ได้มุ่งหวังเพื่อขาย ผลพลอยได้คือปุ๋ยหมักที่หมูหลุมย่ำและพลิกให้ได้ถึงคอกละ 5-7 ตันต่อปี สำหรับใช้ในการเกษตรกรรมของครัวเรือนลดการใช้ปุ๋ยไปได้อย่างมากหรือแทบจะไม่ เสียค่าใช้จ่ายในเรื่องปุ๋ยเคมีเลย

เกษตรผสมผสาน ปลูกทุกอย่างที่กิน กินทุกอย่างที่ปลูก : สร้างความมั่นคงทางอาหาร

พื้นที่ 7 ไร่ มีพืชผัก สมุนไพร ไม่น้อยกว่า 200 ชนิด มีบ่อปลา 2 บ่อ ใช้ในการเก็บน้ำไว้ใช้ในหน้าแล้งได้ด้วย นอกจากนี้ยังมีเล้าเป็ด เล้าไก่ เล้าหมูพื้นบ้าน (หมูหลุม) คอกวัว คอกควาย พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่นา ปลูกข้าวเหนียวพื้นบ้านไว้กิน ปลูกข้าวเจ้านิดหน่อยเอาไว้รับแขก ที่เหลือก็แบ่งปันญาติพี่น้อง มีผลไม้ตามริมขอบสระ เช่น มะม่วง มะพร้าว มะละกอ กล้วย อ้อย ขนุน น้อยหน่า ฯลฯ บำรุงบอกว่าลงมือจริงจังสิบกว่าปีที่ผ่านมาก็เห็นผล มีกินทุกอย่าง “เป็นอาหารที่ปลอดภัยปลอดสารพิษ ที่สำคัญมันคือความมั่นคงทางอาหาร ถึงแม้ไม่มีเงินเราก็อยู่ได้” บ้านสวนของเขายังได้รับการยอมรับจากหน่วยงานราชการและหน่วยงานเอกชน ให้เป็นพื้นที่ตัวอย่างเรื่องเกษตรผสมผสาน เกษตรอินทรีย์ มีกลุ่มต่างๆ มาเยี่ยมชม ศึกษา ดูงานอย่างไม่ขาดสาย การดำนาด้วยต้นข้าวเพียงต้นเดียวเป็นอีกวิธีการหนึ่งที่ชุมชนกุดตาไก้ ได้ทดลองทำในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา เพราะการได้ไปดูงานแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับกลุ่มอื่นๆ ทำให้ชุมชนแห่งนี้ไม่หยุดนิ่ง พัฒนาการเกษตรของชุมชนไปได้อย่างต่อเนื่อง

การรวมกลุ่มสร้างความเข้มแข็ง : ทวงสิทธิอันพึงมีพึงได้

บทเรียนของการรวมกลุ่มรวมตัวกันของชาวบ้านทำให้เกิดพลังในการเจรจาต่อรอง บำรุงเป็นแกนนำชาวบ้าน เขาได้ร่วมก่อตั้งสมัชชาเกษตรกรรายย่อยภาคอีสาน สกยอ. เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับชาวบ้านที่ประสบปัญหา เรื่องราคาผลผลิตการเกษตร ปัญหาป่าไม้ทับที่ทำกินของชาวบ้าน ปัญหาที่ดิน ปัญหาหม่อนไหม ปัญหาวัวพลาสติก ปัญหามะม่วงหิมะพาน ปัญหาเขื่อน ปัญหาหมู ฯลฯ การเดินทัพนับหมื่นคนจากอีสานเข้าสู่เมืองหลวง เพื่อกดดันให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาให้กับชาวบ้าน เพื่อทวงสิทธิอันพึงมีพึงได้ ก่อให้เกิดการตื่นตัวของชาวบ้านในการเรียกร้องสิทธิของตนเองเป็นอย่างมาก จนนำไปสู่การแก้ไขปัญหาในหลายๆ เรื่อง

การสร้างเครือข่ายปกป้องทวงสิทธิ : ความยากจนคือการละเมิดสิทธิมนุษยชน

สิบกว่าปีที่ผ่านมา บำรุงทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาสมัชชาคนจน ซึ่งมีเครือข่ายองค์กรชาวบ้าน 7 เครือข่าย คือ เครือข่ายปัญหาที่ดิน เครือข่ายปัญหาป่าไม้ทับที่ทำกิน เครือข่ายปัญหาเขื่อนและการจัดการน้ำ เครือข่ายสลัม 4 ภาค เครือข่ายผู้ป่วยจากการทำงาน เครือข่าเกษตรกรรมทางเลือก เครือข่ายประมงพื้นบ้านภาคใต้ ซึ่งเป็นองค์กรประชาชนที่ผลักดันให้รัฐแก้ไขปัญหาให้กับชาวบ้านในนามสมัชชาคนจน โดยปัญหาทั้งหมดเกิดจากการละเมิดสิทธิของรัฐในนามของการพัฒนา และนโยบายของรัฐที่ลำเอียง ไม่เห็นหัวคนจน รวมทั้งกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม บำรุงบอกว่าชาวบ้านต้องลุกขึ้นมารวมกลุ่มกันให้เข้มแข็ง ปกป้องสิทธิของตนเอง ทวงถามสิทธิของตนเอง เขามองว่าความยากจน คือ การละเมิดสิทธิมนุษยชน ของประชาชนอย่างร้ายแรง

บทสรุป

บำรุง ย้ำในตอนท้ายว่า สิ่งสำคัญคือการขับเคลื่อนความคิดของคน ต้องทุ่มเทสรรพกำลังในการพูดคุย ประชุมแลกเปลี่ยนกับชาวบ้านในชุมชน “ให้ชาวบ้านในชุมชนตระหนักและเข้าใจว่าเขามีสิทธิที่จะกำหนดอนาคตของตนเอง ของชุมชน ประเทศชาติ และของโลกเสียด้วยซ้ำไป” ต้องรวมตัวกันให้เข้ม แข็ง สานเครือข่ายให้เป็นเอกภาพ กดดัน เจรจาต่อรอง เพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิอันพึงมีพึงได้ เกษตรอินทรีย์ การต่อสู้ของเกษตรกรรายย่อย การต่อสู้ของสมัชชาคนจน เป็นเพียงรูปธรรมหนึ่งเท่านั้นเองที่ชุมชนกุดตาไก้ใช้เป็นบทเรียน เป็นตัวผลักดันเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงชุมชน ผลักดันให้รัฐต้องแก้ไขนโยบายและกฎหมายให้เกิดความเป็นธรรมต่อชาวบ้านและคน จน และนี่คือการลงมือในการปกป้องสิทธิของตนเอง การกำหนดสิทธิของชุมชนที่จะไม่ดำเนินตามเกษตรกระแสหลัก ของคนเล็กๆ คนหนึ่ง ของชุมชนเล็กๆ ชุมชนหนึ่ง ในถิ่นอีสานแดนไกล

ที่มา http://prachatai.com/journal/2009/02/20059

โพสท์ใน ความสําคัญ | ใส่ความเห็น

ด้านการมีส่วนร่วมของประชาชน

คุณบำรุงทำงานกับชาวนาในชนบทด้วยความเชื่อที่ว่าเขาสามารถกำหนดอนาคตของตน เองได้  โดยจัดตั้งกลุ่มชาวนาเพื่อทำการควบคุมวงจรของการผลิตทางการเกษตรการจัด จำหน่าย และการตลาด   คุณบำรุงให้ความรู้ในการแก้ปัญหาต่างๆ เช่น การตกต่ำของราคาสินค้า และแนะแนวทางในการพัฒนาสินค้าการจัดจำหน่าย และการตลาดให้แก่ชุมชน การจัดตั้งกลุ่มทำให้ชาวนาสามารถปกป้องผลประโยชน์ของตนเองและได้รับการยอม รับมากขึ้น

ที่มา http://prachatai.com/journal/2009/02/20059

โพสท์ใน หมวด | ใส่ความเห็น

ประวัติบำรุง คะโยธา

บำรุง คะโยธา เป็นผู้นำรากหญ้า ท้าอธรรม ตั้งแต่กลับมาจากการเป็นกรรมกรในกรุงเทพฯ บำรุงพาเกษตรกรรวมกลุ่มผู้เลี้ยงหมู ต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมให้กับกลุ่มผู้เลี้ยงหมู ทดลองทำการแปรรูปหมูเป็นสินค้าในรูปแบบต่างๆแต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จทางการ ตลาด

ต่อ มาเมื่อผู้เขียน ร่วมกับเอ็นจีโอและผู้นำเกษตรกรคนอื่นๆ พาพี่น้องเกษตรกรจัดตั้งสมัชชาเกษตรกรรายย่อยภาคอีสาน (สกยอ.) ที่ขอนแก่น บำรุง คะโยธา เป็นผู้นำในการเรียกร้องและต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมให้แก่เกษตรกร

ขณะที่มีผู้นำอื่นๆอาศัยเกษตรกรไต่เต้าในลักษณะ “นายหน้าค้าความจน” และเรียกรับเงินจากเกษตรกร บำรุง คะโยธา ไม่เคยมีพฤติกรรมไม่ดีเช่นนี้ ผู้นำเกษตรกรแตกแยกกัน กลายเป็น สกยอ.1 และ สกยอ.2 หลายคนไปสมัครเป็น สส.บัญชีรายชื่อของพรรคการเมือง บางคนอยู่ในกองทุนฟื้นฟูเกษตรกร บางคนติดคุกอยู่ที่บุรีรัมย์

บำรุง คะโยธา และผู้นำอีกส่วนหนึ่งพากันตั้ง “สมัชชาคนจน” รวมเครือข่ายเกษตรกรกว่า 100 ปัญหา ชุมชนเรียกร้องหน้าทำเนียบ 99 วัน จนถือว่าเป็นม็อบที่อยู่นานที่สุดตั้งแต่มีการเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่ เกษตรกร ซึ่ง มีทั้งที่ประสบผลสำเร็จ เกษตรกรได้รับสิทธิที่ดิน ได้ผ่อนเบาหนี้สิน เกิดกองทุนฟื้นฟูเกษตรกรมาช่วยปลดหนี้และประนอมหนี้แก่เกษตรกร

แต่ ปัญหาส่วนใหญ่ของเกษตรกรยังไม่ได้รับการแก้ไข รัฐบาลซื้อเวลาโดยการจัดตั้งคณะกรรมการชุดแล้วชุดเล่า เอาคนไม่รู้เรื่องมาเป็นกรรมการและศึกษาข้อมูลเริ่มต้นกันใหม่ทุกครั้งไป ท่ามกลางสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง มีการเปลี่ยนรัฐบาลใหม่เกือบทุก 2 ปี

          ต่อ มาบำรุง คะโยธา ปรับเปลี่ยนชีวิตจากการเป็นผู้นำระดับชาติมาเป็นผู้นำท้องถิ่น โดยไปสมัครเป็นนายก อบต.สายนาวัง อ.นาคู จ.กาฬสินธุ์และประสบผลสำเร็จ ปัจจุบันเป็นสมัยที่สอง ท่ามกลางการต่อสู้กับนักการเมือง นายทุนและข้าราชการในการแข่งขันตำแหน่งนายก อบต.

บำรุง คะโยธา ท้าทายอธรรมด้วยการเดินเรื่องการคอรัปชั่นกว่า 300 ล้านบาทในจังหวัดกาฬสินธุ์ แต่เรื่องยังเงียบและถูกอ้างว่าอยู่ในขั้นตอนการสอบสวนมาหลายปีแล้ว  นอกจากนี้บำรุงพาพี่น้องเกษตรกรทำเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจน หนี้สินและรวมกลุ่มช่วยเหลือเกื้อกูลกัน

ในวันที่ 7 – 8 สิงหาคม 2554 นี้จะมีการจัดงาน 60ปี บำรุง คะโยธา ผู้นำรากหญ้า ท้าอธรรม จะมีการเสวนา ขบวนการเกษตรกรภาคอีสาน อดีต ปัจจุบัน อนาคต โดยอ.บันฑร อ่อนดำ , อ.สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ , อ.สน รูปสูง , อุบล อยู่หว้า , สนั่น ชูสกุล ฯลฯ และเสวนา ประวัติชีวิต ผลงานและอนาคตของบำรุง คะโยธา มีดนตรีเพื่อชีวิตรุ่นใหญ่นำโดยหงา คาราวานพร้อมนักดนตรีเต็มวงไปร่วมเล่นในงาน

จึง ใคร่ขอเชิญชวนพี่น้อง อบต.และเครือข่ายเกษตรกร รวมทั้งผู้ที่รู้จักกับผู้นำที่ยิ่งใหญ่ ไม่โกงไม่กิน ไม่เป็นสส.หรือ สว. ทั้งๆที่มีโอกาสมาโดยตลอด ทั้งๆที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนเกษตรกร เป็นผู้นำที่ทำงานเพื่อเกษตรกรรากหญ้าและท้าอธรรมมาตลอดชีวิต

          การ ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้และให้กำลังใจคนดีคนจริงคนไม่โกงในโอกาสดีๆเช่นนี้ เป็นเรื่องที่คนไทยควรแสดงให้เห็นกันตอนเป็นๆดีกว่าไปสรรเสริญกันตอนตายอยู่ ในโลงแล้ว

ที่มา http://prachatai.com/journal/2009/02/20059

โพสท์ใน ประวัติ | ใส่ความเห็น

ที่ปรึกษาสมัชชาคนจน

บำรุงทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาสมัชชาคนจน ซึ่งมีเครือข่ายองค์กรชาวบ้าน 7 เครือข่าย คือ เครือข่ายปัญหาที่ดิน เครือข่ายปัญหาป่าไม้ทับที่ทำกิน เครือข่ายปัญหาเขื่อนและการจัดการน้ำ เครือข่ายสลัม 4 ภาค เครือข่ายผู้ป่วยจากการทำงาน เครือข่าเกษตรกรรมทางเลือก เครือข่ายประมงพื้นบ้านภาคใต้ ซึ่งเป็นองค์กรประชาชนที่ผลักดันให้รัฐแก้ไขปัญหาให้กับชาวบ้านในนามสมัชชาคนจน โดยปัญหาทั้งหมดเกิดจากการละเมิดสิทธิของรัฐในนามของการพัฒนา และนโยบายของรัฐที่ลำเอียง ไม่เห็นหัวคนจน รวมทั้งกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม บำรุงบอกว่าชาวบ้านต้องลุกขึ้นมารวมกลุ่มกันให้เข้มแข็ง ปกป้องสิทธิของตนเอง ทวงถามสิทธิของตนเอง เขามองว่าความยากจน คือ การละเมิดสิทธิมนุษยชน ของประชาชนอย่างร้ายแรง

ที่มา http://prachatai.com/journal/2009/02/20059

โพสท์ใน บทบาท | ใส่ความเห็น

การรวมกลุ่มสร้างความเข้มแข็ง

การรวมกลุ่มรวมตัวกันของชาวบ้านทำให้เกิดพลังในการเจรจาต่อรอง บำรุงเป็นแกนนำชาวบ้าน เขาได้ร่วมก่อตั้งสมัชชาเกษตรกรรายย่อยภาคอีสาน สกยอ. เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับชาวบ้านที่ประสบปัญหา เรื่องราคาผลผลิตการเกษตร ปัญหาป่าไม้ทับที่ทำกินของชาวบ้าน ปัญหาที่ดิน ปัญหาหม่อนไหม ปัญหาวัวพลาสติก ปัญหามะม่วงหิมะพาน ปัญหาเขื่อน ปัญหาหมู ฯลฯ การเดินทัพนับหมื่นคนจากอีสานเข้าสู่เมืองหลวง เพื่อกดดันให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาให้กับชาวบ้าน เพื่อทวงสิทธิอันพึงมีพึงได้ ก่อให้เกิดการตื่นตัวของชาวบ้านในการเรียกร้องสิทธิของตนเองเป็นอย่างมาก จนนำไปสู่การแก้ไขปัญหาในหลายๆ เรื่อง
การสร้างเครือข่ายปกป้องทวงสิทธิ : ความยากจนคือการละเมิดสิทธิมนุษยชน

ที่มา http://prachatai.com/journal/2009/02/20059

โพสท์ใน ความประทับใจ | ใส่ความเห็น